วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับมนุษย์กินคน

10) อัลเฟร็ด แพคเกอร์ - สหรัฐอเมริกา

อัลเฟร็ด แพคเกอร์ เป็นนักขุดทองชาวสหรัฐอเมริกา เขาถูกตัดสินกระทำผิดฐานเป็นมนุษย์กินคน จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1874 ตอนนั้น อัลเฟร็ด แพคเกอร์ และคณะ 5 คน ได้เดินทางไปเทือกเขาโคโลราโดที่แสนหฤโหดและสภาพอากาศเลวร้าย แต่ว่ากันว่าที่นี้มีแร่ทองคำอยู่มากมายมหาศาล เหมาะอย่างยิ่งจะขุดทองเพื่อรวยทางลัด

อัลเฟร็ด แพคเกอร์ และคณะเดินทางไปที่นั้น จากนั้นสองเดือนต่อมา เขากลับจากที่นั้นเพียงคนเดียว ทำให้คนอื่นๆ ตั้งคำถามว่า “อีก 5 คนหายไปไหน” อัลเฟรดบอกว่า “ฉันกินพวกเขาเองแหละ” พอดีตอนไปถึงสภาพอากาศเหลวร้ายมากๆ และอาหารเริ่มหมด เลยมีการต่อสู้เพื่อแย่งอาหาร เขาฆ่าคนอื่นเพื่อป้องกันตัวเอง และถูกบังคับให้กินเนื้อคนที่ตายเพื่อรอดชีวิต เรื่องราวของเขาดูไม่เหมือนน่าเชื่อ แต่การตรวจสอบศพแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ร่องรอยบนกระดูกเห็นได้ชัดว่าสี่คนถูกตีจนตายด้วยด้านขวานและมีร่อยรอยการใช้มีดแล่เนื้อออกอย่างระมัดระวัง เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสั้นๆ และถูกปล่อยตัวออกมา และปัจจุบันมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อัลเฟร็ด แพคเกอร์ เพื่อระลึกถึงโศกนาฏกรรมของเหตุการณ์ในครั้งนั้น
9) อัลเบิร์ต ฟิช - นิวยอร์ค
ในปี 28 พฤษภาคม 1928 ที่อพาร์เมนต์ของครอบครัวบัดด์ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา มีชายชราแต่งตัวดีคนหนึ่งแนะนำตนว่าเป็นเจ้าของฟาร์ใหญ่ที่ลองไอส์แลนด์ และสนใจอยากจะหาลูกมือสักคนมาช่วยงานเขา ครอบครัวบัดด์เชื่อใจคนแก่คนนั้นจนกระทั้งวันหนึ่งพวกเขาได้ให้ลูกสาวเกรซ บัดด์อายุ 10 ขวบ ไปกับชายชราที่อ้างว่าจะเธอไปงานเลี้นงหลานสาวของเขาด้วย
โดยหารู้ไม่ว่านี้คือครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวบัดดด์เห็นลูกสาวตอนยังมีชีวิตอยู่ เพราะเด็กน้อยหายตัวไป และตอนนี้เธอก็ถูกฆ่าและถูกนำไปทำอาหารอยู่ในท้องของชายชราคนนั้นเรียบร้อยแล้ว.....
ชายชราคนนั้นก็คือ อัลเบิร์ท ฟิช เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เขาถูกจับในเวลาต่อมาเมื่อเขาส่งจดหมายให้ครอบครัวบัดด์โดยบอกว่า “เขากินลูกสาวของพวกเขาแล้ว มันอร่อยมากๆ” นอกจากนี้เขายังสารภาพอีกด้วยว่าเขาเคยย้ายบ้านมาแล้วกว่า 23 รัฐ และในแต่ละรัฐได้ก่อคดีฆาตกรรมไว้อย่างน้อยรัฐละ 1 ครั้ง เหยื่อของเขาเป็นเด็กชายหญิงซึ่งจากปี 1910 ถึง 1934 เขาได้สังหารไปกว่า 400 คนเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอัลเบิร์ทพูดจริงแค่ไหน เขาถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าเมื่อวันที่ 16 มกราคม 1936
8) กลุ่มอาร์ยูเอฟ
ใครเคยดูภาพยนต์เรื่อง Blood Daimond คงทราบถึงความโหดร้ายของ กลุ่ม Revolutionary United Front (RUF) เป็นอย่างดี กลุ่ม อาร์ยูเอฟ (RUF Revolutionary United Fronts) เป็นกลุ่มกองกำลังปฏิวัติในเซียร์ราลีโอนก่อตั้งโดยโฟเดย์ แซนโกห์ เป็นนักรบเก่าในกองทัพโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแย่งชิงความมั่งคั่งคืนจากชาวยุโรปที่เข้ามากอบโกย และคว่ำรัฐบาลคอรัปชั่นของประเทศตัวเอง นั้นเป็นจุดเริ่มต้นการเกิดสงครามการเมืองสุดมหาโหด เพราะส่วนใหญ่วีกรรมของกลุ่มนี้ก็ดีๆ ทั้งนั้น เพราะจะฆ่าชาวบ้านตาดำๆ ผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน วันดีคือดีพวกมันจะรบแบบกองโจร บุกเข้ามาในเมือง หรือไม่ก็หมู่บ้านคนธรรมดา แล้วให้เด็กใช้ปืนยิงชาวบ้าน แบบปูพรม.....เพื่อสังหารทหารรัฐบาลดะ ทำลาย ฆ่าชาวบ้าน ปล้น จี้ ข่มขืน ฆ่าผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็ก รวมทั้งเอาเด็กอายุ 6 ขวบ (ขึ้นไป) เอาไปเป็นกองทัพสัตว์นรกหากใครไม่เข้าพวกยิงทิ้งทันที หรือไม่ก็ตัดแขนตัดมือ ส่วนผู้หญิงจะนำไปเป็นบำเรอกามเพื่อการข่มขื่นซ้ำซ้อนอย่างทารุณ(ผู้หญิง 75 เปอร์เซ็นต์ในประเทศ มีประวัติถูกข่มขื่น) นอกจากนี้ยังมีการกินเนื้อคนในหมู่บ้านอีก...เนื่องจากเป็นความเชื่อของกลุ่มว่ากินเนื้อศัตรูจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นและเป็นเครื่องที่สร้างความหวาดกลัวต่อผู้คนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
7) อิสเซ ซากาวะ - ญี่ปุ่น “ผมไม่ได้อยากจะฆ่า ผมเพียงแต่อยากจะกินเธอเท่านั้นเอง"

ข้างต้นนี่คือประโยคที่อิสเซ ซากาวะ พูดไว้หลังถูกจับกุมคดีฆาตกรรมเพื่อนหญิงสาวและนำเนื้อมาทำอาหาร

ติดอันดับอีกแล้ว พ่อยุ่นคนนี้ ฆ่าคนแค่คนเดียวแต่พี่แกดังไปทั่วโลกเลยนะเนี้ย ได้อันดับ 1 ฆาตกรที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ แล้วยังติดสุดยอดคนกินคนอีก อิสเซ ซากาวะ ขณะที่ก่อเหตุนั้นเขาอายุ 16 ปี เขาเป็นเด็กทุนได้เรียนที่ปารีส ที่มีความฝันว่าเขาอยากจะกินคนสักครั้งในชีวิต และวันนั้นก็มาถึงเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 1981 (วันเกิดครบ 32 ปีของเขา)ซาคาว่าเชิญเรนี ฮาร์เทเวลท์นักศึกษาชาวดัชต์มาที่ห้องพักของเขาโดยอ้างว่าต้องการจ้างเธอมาอ่านบทกวีภาษาเยอรมันให้ฟัง และเมื่อเธอมาถึงและเมื่อเธอหันหลัง เขาก็ใช้ปืนยิงที่ศีรษะของเรนี จนเสียชีวิต จากนั้นก็ข่มขื่นและแล่เนื้อเธอออกเอามาทำอาหารและกิน ใช้เวลา 2 วันเพื่อทดลองว่าเนื้อของคนในส่วนไหนอร่อย เขาปรุงรสด้วยเกลือ พริกป่นและพริกไทย เขาถูกจับได้ในเวลาต่อมาหลังจากเอาศพเรนี ไปทิ้ง เขาตัดสินว่ามีความบกพร่องทางจิตจนไม่สามารถรับผิดชอบคดีได้ เขาถูกตัดสินให้ต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตจนตลอดชีวิต จะอย่างไรก็ดี ซาคาว่าเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอังรีโครันเป็นเวลา 14 เดือนก่อนจะถูกส่งตัวกลับญี่ปุ่น ที่โตเกียวนั้น พ่อของเขาก็วิ่งเต้นจนเขาออกมาสู่สังคมภายนอกในที่สุด

ปัจจุบัน อิสเซ ซากาวะ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสระเท่าที่ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งจะสามารถมีได้ เขาออกหนังสือหลายเล่มและเคยได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ในฐานะแขกกิตติมศักดิ์หลายครั้ง

6) อันเดร ซิกาทิโล - รัสเซีย

อันเดร ชิกาทิโล เป็นฆาตกรต่อเนื่องฆาตกรที่โหดร้ายที่สุดของรัสเซีย ที่สังหารเด็กและผู้หญิงกว่า 50 คน ใน รอสตอฟ (โซเวียตเก่า) เขาก่อนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องตั้งแต่ ปี 1978-1990 เขาเป็นชายไร้สมรรถภาพทางเพศ แต่เขาไปถึงจุดสุดยอดได้เมื่ออีกฝ่ายขัดขืน หรือหวาดกลัว ดังนั้นเวลาจะทำการฆาตกรรมทุกครั้งเขามักจะเล่นกับศพเหยื่อเพื่อให้ถึงจุดสุดยอดทุกครั้ง ไม่ว่าจะแทงศพเหยื่อด้วยมีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ้างก็ถูกควักลูกตา หลายศพถูกเฉือนอวัยวะภายในและอวัยวะเพศไปเพื่อกิน บางครั้งก็นำกลับไปประกอบอาหารที่บ้าน และบางครั้งที่กินสดๆเลยก็มี อันเดร ชิกาทิโล ถูกปล่อยให้ลอยนวลอยู่ถึง 12 ปี จนกระทั่ง 20 พฤศจิกายน 1990 จิกาทีโล่ก็จับกุมในที่สุด 14 เมษายน 1992 อันเดร ชิกาทิโล ก็ขึ้นศาล แต่เขาไม่สนเรื่องการพิจาณาคดีในศาลเลย เขาเอาหนังสือโป๊มาอ่านระหว่างการขึ้นศาล เดี๋ยวก็ร้องเพลงชาติรัสเซีย เดี๋ยวก็ร้องเรียนให้จัดหาล่ามภาษายูเครน แล้วอยู่ๆก็กระโดดขึ้นมาถอดกางเกงของตนพร้อมกับร้องท้าทายผู้เข้าฟังคดี ซึ่งการกระทำเหล่านี้สร้างความโกรธแค้นให้กับญาติของผู้เคราะห์ร้ายเป็นอย่างมาก ทำให้ศาลต้องเอาตัว อันเดร ชิกาทิโล โล่ไปขังกรุง เพื่อป้องกันการถูกรุมประชาทัณฑ์ แล้วในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1994 อันเดร ชิกาทิโล ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้ารวมอายุเมื่อเสียชีวิต 57 ปี
5) ครอบครัว Mauerove
ครอบครัว Mauerova เป็นครอบครัวสมาชิกบูชาลัทธิกินเนื้อคนจากสาธารณรัฐเชค พวกเขาออกอาละวาดฆ่าคนเพื่อกินคน(เน้นเด็กและทารก)ในระยะเวลา 8 เดือน นอกจากนี้ยังมีการถ่ายวีดีโอศพเด็กที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ในตู้เย็นอย่างน่าสยดสยอง โดยมีแม่เป็นพวกหน้ากลุ่ม สมาชิกทั้งหมด 6 สมาชิกประกอบไปด้วยแม่ Klara Mauerova อายุ 34 ปี Skrlova Barbaracและพี่ชาย และยังนมีเด็กสองคนคือ Ondrej Mauerova อายุ 8 ปี และ Jakub Mauer อายุ 10 ปี ทุกคนถูกจับเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2007 ทั้งหมดถูกตัดสินจริง(ในเว็บไซต์มีการโหวดว่าพวกเขาทุกคนโดนประหารแล้วตกนรกหรือเปล่าผลปรากฏว่า 97 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าสมควร)

4) อาร์มิน เมเวส

อาร์มิน เมเวส ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ชาวเยอรมันวัย 42 ซึ่งได้รับฉายาว่ามนุษย์กินคนแห่งโรเธนบวร์ก เยอรมัน ถูกศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต แต่รายนี้มาแปลกเพราะเหยื่อเป็นคนยินยอมให้ฆ่าและกินตัวเองได้

เรื่องราวจากในคดีจริงนั้น อาร์มิน เมเวส ได้ใช้มุมมืดของไซเบอร์สเปสเป็นที่หาเหยื่อประมาณว่าทิ้งข้อความว่า “ต้องการหาเหยื่อเหยื่อ" ที่เป็นชายมีอายุระหว่าง 18-25 ปี ให้มาพบแล้วจะกินเป็นอาหาร สนใจติดต่อมาที่ XXX) จนกระทั้งได้พบกับเหยื่อของเขาคือเบิร์นด์ เจอร์เกน แบรนเดส (Bernd-Juergen Brandes ) ชายวัย 43 ปีซึ่งมีอาชีพเป็นผู้จัดการฝ่าย IT ในบริษัทแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้ตอบรับคำโฆษณาของเขาที่ฝากทิ้งไว้ในอินเทอร์เน็ต โดยผ่านทางการพบปะบนอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2001 แบรนเดส พูดว่าเขากำลังมองหาคนที่สามารถช่วยทำลายร่างกายของเขาให้สิ้นซากโดยที่ไม่ ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ ซึ่ง อาร์มิน เมเวส ตอบสนองโดยการใช้มีดแทงลำคอของเขา แขวนเขาเอาไว้บนตะขอแขวนเนื้อ หั่นศพของเขาออกเป็นชิ้นๆ และนำเนื้อบางส่วนมากิน ภายหลังศาลตัดสินให้เขาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่า แบรนเดส เป็นคนที่ขอให้เขากินเนื้อของตัวเองก็ตาม คดีของอาร์มิน เมเวส ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และกระแสความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยถูกนำมาเขียนเอาไว้ในหนังสือหลายเล่ม นอกจากนี้ยังนำมาทำเป็นภาพยนตร์และแต่งเพลงอีกด้วย

3) เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์


22 กรกฎาคม 1991 เวลา 23.30น.รัฐวิสคอนซิน เมืองมิลวอกี้ อเมริกา ขณะที่นายตำรวจสายตรวจ 2 คนกำลังลาดตระเวณอยู่บริเวณดาวน์ทาวน์ มีชายผิวดำซึ่งใส่กุญแจมือไว้ยังมือข้างซ้ายวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ เมื่อตำรวจตามชายดังกล่าวไปยังออกซ์ฟอร์ดอพาร์ทเมนท์ ห้อง 213 ก็พบกับชายหนุ่มผิวขาวผมบรอนด์เปิดประตูออกมารับด้วยท่าทีสงบเงียบใจเย็น เขาแนะนำตัวว่าชื่อ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์

จากนั้นตำรวจก็รู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นแปลก ๆ และพวกเขาก็พบที่มาของกลิ่นเหม็น.....หัวคนในตู้เย็น มีหัวคน 4 หัวกับชิ้นเนื้อและเครื่องในมนุษย์ที่ถูกแพ๊คไว้ในถุงพลาสติก ชั้นบนของที่วางของมีกระโหลกมนุษย์ 3 หัวเก็บอยู่ ส่วนชั้นล่างวางกระดูกชิ้นส่วนอื่นๆ ในกล่องกระดาษมีกระโหลกอีก 2 หัวและอัลบั้มภาพถ่ายอันสุดจะบรรยาย หม้อบนเตากำลังต้มส่วนศีรษะมนุษย์ 2 หัวซึ่งกำลังเปื่อยได้ที่ บนพื้นมีเศษผิวหนังกับนิ้วมือตกอยู่และในถังสีฟ้าซึ่งวางไว้ที่โถงประตู ภายในคือส่วนร่างกายมนุษย์ 3 คนซึ่งถูกทำให้ละลายด้วยกรดเกลือ

จากการตรวจสอบรูปถ่าย ตำรวจพบภาพสยองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพที่ถ่ายเป็นร่างของเหยื่อจะถูกตัดออกเป็นชิ้นเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย ใส่ลงในอ่างน้ำ ผสม ทา ราดด้วยน้ำกรดและน้ำยาเคมี เนื้อถูกย่อยสลายส่งกลิ่นร้ายกาจเช่นเดียวกับกระดูกที่ถูกกัดจนเป็นสีดำกลิ่นน่าคลื่นไส้ และยังมีของสะสมต่างๆ เป็นกะโหลกที่ถูกทาสีเทาและองคชาติที่ตัดออกมาจากศพที่ดองเก็บไว้ในขวดแก้วบรรจุยาฟอร์มัลดีไฮด์ ส่วนหัวที่ตัดออกเขาเอาไปต้มหม้อจนเปื่อยยุ่ย จากนั้นลอกเนื้อหนังให้เหลือแต่กะโหลกแล้วทำความสะอาดให้สวยงามเหมือนของเล่นพลาสติก

เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ถูกจับกุม และถูกตัดสินในข้อหาสังหารคนไป 17 ราย แต่เนื่องจากรัฐวิสคอนซินได้ยกเลิกโทษประหารไปแล้ว เจฟฟรีย์จึงถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต และในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1994 ก็ถูกนักโทษคนอื่นทุบด้วยท่อนเหล็กจนตายขณะรับเวรทำความสะอาด

2) เผ่าคาริบ




เผ่ากินคนนี้แหละครับที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า คานิบาลิสม์(Cannibalism) เป็นชนเผ่าที่คณะนักสำรวจคริสโตเฟอร์ โคลัมปัสและคณะไปพบเขาที่หมู่เกาะเวสท์ อินดิส ที่นั้นเขาได้พบชาวพื้นเมืองคาริบ ซึ่งเป็นเผ่ากินคนกินเป็นอาหาร

ทว่าคริสโตเฟอร์แกเป็นสเปนนะครับเขาสะกดชื่อชาวพื้นเมืองนี้ผิดจากคำว่า “คาริบ” กลับเขียนเป็น “คานิบส์” จากนั้นก็เพี้ยนมาเป็นคำว่า “คานิบาเลส” อันมีความหมายว่าดุร้ายกระหายเลือด และชาวอังกฤษก็เปลี่ยนคำนี้มาเป็น “คานิบาลิสม์” ในที่สุด ซึ่งความหมายจริงๆ ของมันนคือมนุษย์ที่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองอย่างโหดเหี้ยมทารุณวิปริตผิดแผกไปจากมนุษย์โดยทั่วไป

กลับมาที่เผ่าคาริบ เป็นเผ่าชาวอินเดียน เผ่านี้อยู่ในเกรนาดาเป็นเกาะภูเขาไฟเล็ก ๆ ในทะเลแคริบเบียน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตรินิแดดและโตเบโก และเวเนซุเอลา และอยู่ทางทิศใต้ของเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ชาวอินเดียน เผ่าคาริบมีประเพณีกินเนื้อคน เวลาจับเชลยได้ ชาวอินเดียนเผ่านี้ก็จะใช้ไฟจี้ตามตัวจนเป็นแผลพุพองแล้วเอาพริกทา และเมื่อเชลยเสียชีวิตลงเนื้อของเชลยก็จะถูกแล่เอาไปปรุงด้วยพริกเป็นอาหาร

แม้จะยังไม่มีหลักฐานปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า การกระทำเช่นนี้มีจริงหรือเปล่า นักวิชาการบางคนกล่าวว่า เรื่องราวการกินเนื้อมนุษย์โดยชาวเผ่าคาริบ อาจเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นโดยนักล่าอาณานิคม เพื่อใช้เป็นข้ออ้างถึงความจำเป็นที่ต้องทำให้คนป่าทั้งหลาย ได้พัฒนาตนเองให้มีอารยธรรมเหมือนซีกโลกที่เจริญแล้ว

1) นักรักบี้ผู้หิวโหย


วันที่ 12 ตุลาคม 1972 นักเล่นลักบี้ทีม"โอลด์คริสเตียนส์"ของมหาวิทยาลัยสเตลล่ามาริสกับเพื่อนสนิทและครอบครัว(อีกหลายคนเป็นผู้โดยสารทั่วไปที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมญาติ ลูกเรือ 3 คนและนักบินอีกสองนาย) พากับบินจากอูรุกวัยไปยังชิลีโดยเครื่องบินสายอุรุกวัย แฟร์ไชด์ FH-227D(Uruguayan Air Force Flight 571) ขณะที่แฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนเดส พวกเขาประสบกับสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนักจน เครื่องบินโดยสารประสบอุบัติเหตุตกลงไปเทือกเขาแอนดิสที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

มีผู้ถึงแก่ความตายทันที 13 ศพจากผู้โดยสารทั้งหมด 45 คน อีกหลายสัปดาห์ต่อมามีผู้บาดเจ็บจากเครื่องบินตกตายไปอีกหลายศพ ส่วนคนที่รอดหมดหนทางที่จะติดต่อจากโลกภายนอกได้ หิมะในบริเวณที่เครื่องตกนั้นมีความหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร และไม่มีเครื่องมือรักษาพยาบาลหรือยาที่เพียงพอ ผู้ใหญ่ ประทังชีวิตด้วยช็อคโกแล็ตที่มีจำนวนจำกัดและน้ำที่ได้จากการละลายหิมะ เมื่อมีคนตาย พวกเขาก็ได้แต่ขนศพออกไปข้างนอกและฝังไว้ใต้กองหิมะ

วันที่ 9 นับจากเครื่องตก ความหิวโหยทำให้พวกเขาอ่อนแอลงจนอยู่ในขั้นอันตราย นักลักบี้คนหนึ่งได้เสนอให้กินศพเพื่อให้อยู่รอด มีหลายคนทำตาม หลายคนนำเนื้อมาย่างบนแผ่นฟอยล์ หลายคนกินดิบเพื่อให้ได้สารอาหาร และผู้ที่ไม่ยอมกินก็อดตายทีละคนสองคน สุดท้าย 72 วันนับจากเครื่องบินตกมี ผู้รอดชีวิตจำนวน 16 รายก็ได้รับการช่วยเหลือและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในซานดิเอโก้ในทันที และพวกเขาก็สารภาพสิ่งที่ได้กระทำลงไป (พวกเขาสารภาพกับคณะแพทย์และบาทหลวงไปเรียบร้อยแล้ว)

18 มกราคม 1973 กองทัพอากาศอุรุกวัยได้ส่งคนไปยังจุดที่เครื่องบินตกและรวบรวมศพผู้เสียชีวิตมาทำการฝังในที่นั้น พวกเขาตั้งกางเขนไว้เหนือหลุมศพแล้วจุดไฟเผาซากเครื่องบินที่เหลืออยู่

( http://www.unigang.com/Article/3947)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิธีการConfig Access Point D-link DIR-600